ประโยชน์ของงาดำ รู้ไว้ใช่ว่า
ในเมล็ด “งาดำ” มีสารอาหารที่จำเป็นอยู่มากมายซึ่งช่วยให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตได้อย่างไม่ขาดสารอาหาร ยิ่งถ้าได้รับประทานร่วมกับกล้วยน้ำว้าจะดีมาก เพราะอาหารสองอย่างนี้มีคุณค่ากับเรา และทำให้มนุษยชาติดำรงชีวิตได้อย่างสมบูรณ์
สารอาหารที่มีประโยชน์ในงาดำที่ควรรู้ ได้แก่
1. โปรตีนสูง ซึ่งประกอบอยู่ถึง 16 เปอร์เซ็นต์ของสารอาหารองค์รวม โปรตีนในงาดำนั้นย่อยง่าย และถูกแปลงเป็นรูปกรดอะมิโนที่ร่างกายนำไปใช้ได้อย่างครบถ้วน
2. กากใยสูง ซึ่งจำเป็นในการส่งเสริมการขับถ่ายและขจัดสารพิษ การรับประทานอาหารกากใยสูง ยังส่งเสริมการย่อยและป้องกันโรคที่เกิดจากสารพิษหรือของเสียตกค้าง เช่น มะเร็งลำไส้ ด้วย
3. คาร์โบไฮเดรตชนิดดี การเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลเพื่อเป็นพลังงานให้แก่ร่างกายจากการย่อยคาร์โบไฮเดรตนั้น ถ้าการย่อยเป็นน้ำตาลเร็วเกินไป ตับอ่อนจะทำงานหนัก และสารอินซูลิน (ฮอร์โมนที่ควบคุมน้ำตาล) จะทำให้ระบบอื่นๆ รวน โดยเฉพาะหากหลั่งมากผิดปกติ การรับประทานคาร์โบไฮเดรตชนิดดีจึงจำเป็นอย่างมาก
4. วิตามิน B รวมสูง โดยเฉพาะวิตามิน B6 ซึ่งวิตามิน B เป็นกลุ่มสารอาหารที่บำรุงและปกป้องสมองและระบบประสาท ทำให้ทำงานได้อย่างปกติ ชะลอความเสื่อมของระบบ
5. สารอาหารโอเมก้า น้ำมันทุกชนิดจะมีสารโอเมก้า ทั้งพืช และสัตว์ แต่ความสมดุลของโอเมก้าจะไม่เท่ากัน น้ำมันงาดำมีความสมดุลของโอเมก้า 3-6-9 ที่เป็นประโยชน์กับระบบสมองและหัวใจอยู่สูง ทั้งยังส่งเสริมการเพิ่มไขมันตัวดีให้กับร่างกาย
6. สารอาหารจำเป็นอื่นๆ เช่น แมงกานีส เหล็ก ทองแดง แคลเซียม แมกนีเซียม ซิ้งค์ ฟอสฟอรัส และไทรนิน เป็นต้น
7. เป็นแหล่งสำคัญของทริปโทแพน หรือวิตามิน E ที่มีส่วนช่วยในระบบฮอร์โมน บำรุงผมและผิวให้อ่อนเยาว์นุ่มนวลอยู่เสมอ
8. สารเฉพาะตัว จุดเด่นของงาดำนั้นมีสารสำคัญ 3 ชนิดที่ได้รับการวิจัย และศึกษาอย่างสูงในปัจจุบัน สารเซซามิน (Sesamin) สารเซซาโมลิน (Sesamolin หรือ D-Sesami) สารซาเซมอล (Sasemol) และมีคุณสมบัติทางด้านการแพทย์เป็นอย่างสูง และ 3 สารสำคัญนี้มีในเฉพาะงาดำเท่านั้น ไม่สามารถหาได้ในแหล่งอื่น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างดี มากกว่าสารอื่นๆ หลายเท่า มีผลการใช้ และการป้องกัน และส่งเสริมอวัยวะภายในโดยเฉพาะหัวใจ สมอง ปอด ตับ และไต อีกทั้งดีต่อผิวและผมอีกด้วย
กระแสที่มาแรงที่ปลุกความสนใจของนักวิทยาศาสตร์ที่มีต่องาดำ คือผลการวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันมะเร็ง และประสิทธิภาพในการชะลอและหยุดการแพร่ของเชื้อมะเร็ง เป็นความหวังอีกอย่างหนึ่งให้แก่ผู้ป่วยเหล่านี้
การรับประทานงาดำเป็นอาหารเสริมนั้นควรอยู่ในรูปของน้ำมันเย็นสกัด ด้วยความดันสูง และบรรจุในแคปซูลที่ป้องกันแสงและอากาศเพื่อไม่ให้ทำปฏิกิริยากับน้ำมัน เพราะสารเหล่านี้มีสภาพคงตัวและละลายได้ดีในรูปของน้ำมัน
การสกัดเพื่อนำไปใช้เป็นอาหารเสริมในรูปแบบไม่เป็นธรรมชาตินั้นขัดกับหลักชีวะโมเลกุล อีกทั้งยังทำให้ได้สารที่ต้องทำงานด้วยกันไม่ครบถ้วน
การรับประทานงาดำให้ได้ประโยชน์นั้น จึงควรอยู่ในรูปเมล็ดงาบดละเอียด หรืองาดำสกัดเย็นเท่านั้น ท่านถึงจะได้ประโยชน์ทางด้านสุขภาพมากที่สุดจากงาดำ
*** เนื้อหาส่วนหนึ่งจากหนังสือ “ไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่ป่วย สวยด้วยน้ำมันงาดำ ราชันย์แห่งธรรมชาติบำกบัด” โดย ดร.พล ภูผาวัฒนากิจ***